วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

รีวิว สร้างบ้านแบบงบน้อย แค่ 2 แสน ก็มีบ้านสวยน่าอยู่ได้

ความฝันของใครหลายๆคน ก็คงไม่พ้นการมีบ้าน สร้างบ้านสวยๆเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง ยิ่งในปัจจุบัน แบบบ้านสวยๆมีมากขึ้น บ้านสวยๆก็ผุดขึ้นตามๆกัน แต่ในการสร้างบ้านต้องใช้งบประมาณสูง บางคนจึงต้องจำกัดงบตามกำลังทรัพย์
วันนี้เราก็มีรีวิวดีๆ จากผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Praew Sirima ได้รีวิวการสร้างบ้านแบบประหยัดงบ ใช้งบแค่ 220,000 บาท ก็ได้บ้านสวยงามน่าอยู่ โดยเจ้าของภาพได้ระบุว่า

“ขออนุญาตค่ะ บ้านงบน้อย 220,000.- 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ โถงน้อยๆ 1 พอเพียงทำความสะอาดง่ายดีค่ะ กำลังจะต่อครัวเพิ่ม”

บ้านสวย

ขนาดกำลังดี

งบสองแสน


น่าอยู่มาก

ใครจะคิดว่างบแค่สองแสนบาท จะได้บ้านสวยหรูสไตล์คลาสสิค ที่ดูทันสมัยแถมยังไม่เล็กเกินไปอีกด้วย คงเป็นรีวิวให้สำหรับคนที่ต้องการสร้างบ้านแบบประหยัดงบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.in.th, ขอขอบคุณที่มาจาก : Praew Sirima

เตาแกลบใช้แทนเตาแก็ส ประหยัดค่าใช้จ่ายอย่าลืมนำไปทดลองทำกันได้นะคะ

ปัจจุบันนี้ ด้วยราคาเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ต่างๆที่อำนวยความสะดวกภายในบ้านมีราคาที่แพงขึ้นในทุกๆวัน และผู้คนก็ติดความสะดวกสบายกันมานาน เพราะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วยในการทำงานบ้าน ทำอาหารด้วยแก๊ส แต่รู้ไหมว่า ถ้าเรารู้จักหาแนวคิดในการช่วยลดค่าใช้จ่ายในบ้าน สามารถทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆได้เยอะ อย่างเช่น ใช้เตาที่ทำเองแทนการใช้แก๊ส ลดค่าแก๊สในแต่ละเดือนได้มากเลยทีเดียว และวันนี้เราก็มีไอเดียดีๆมฝากกัน ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
อุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียม
ฟิน (ตัดให้เป็นชิ้นเล็กหน่อย จะได้ติดไฟได้ง่าย)
ปี๊บ ( แนะนำให้เอาปี๊บเหลือใช้ในบ้าน )
ฐานรองสำหรับวางหม้อหรือกระทะ (สามารถหาซื้อตามตลาดในราคา 50 บาท)
ท่อ PVC หรือเลือกใช้เป็นไม้ไผ่แทนก็ได้ เพื่อช่วยประดับงบ
แกลบ (เอามาจากที่เหลือจากการสีข้าว)
ขั้นตอนวิธีการทำเตาไฟความร้อนสูง
ขั้นตอนที่ 1 ทำการเจาะฐานปี๊บ ให้เป็นรูเท่ากับขนาดท่อ PVC ที่ได้เตรียมไว้
ขั้นตอนที่ 2 จากนั้นนำท่อ PVC ไปใส่ตรงกลางปี๊บ แล้วก็เทแกลบตามลงไปจนเต็มปี๊บ
ขั้นตอนที่ 3 แล้วทำการกดอัดแกลบให้แน่นที่สุด (ยิ่งแน่นเท่าไร ยิ่งมีประสิทธิภาพดี เพราะความร้อนที่ได้รับ จะยิ่งสูงขึ้นตามความหนาแน่นของแกลบ)
ขั้นตอนที่ 4 ต่อมาก็นำท่อ PVC ออก ( ให้ค่อยๆหมุน แล้วบิดไปทางซ้ายขวา เพื่อไม่ให้แกลบ ที่ได้อัดไว้ในขั้นตอนที่ 3 นั้นเสียรูป) พอเอาออกได้แล้ว จะเห็นได้ว่าในปี๊บนั้น แกลบจะมีปล่องตรงกลางไว้สำหรับเป็นช่องทางให้อากาศผ่าน และช่วยให้การเผาไหม้นั้นดีขึ้นอีกด้วย)
ขั้นตอนที่ 5 จากนั้นให้นำหินมาวางไว้เป็นฐานรองปี๊บ เพื่อเป็นการยกให้ฐานปี๊บสูงกว่าเดิม ให้เป็นช่องทางลมสามารถให้อากาศผ่านด้านล่างได้ดี
ขั้นตอนที่ 6 แล้วทำการจุดไฟ โดยการใช้เศษกระดาษ และด้วยที่แกลบเป็นวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย ทำให้เรามองเห็นเปลวไฟพุ่งขึ้นมาทางปล่องตรงกลางปี๊บได้อย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนที่ 7 จากนั้นนำฐานรองหม้อที่ได้จัดเตรียมเอาไว้มาวางรอง แล้วค่อยๆเติมเศษไม้ที่ได้เตรียมไว้ใส่เข้าไปเรื่อยๆ เพื่อให้ไฟติดและแรงขึ้น
เป็นไงบ้างคะ กับรูปแบบการทำเตาไฟความร้อนสูง จากแบบทดลองจริงกันไปแล้ว สามารถทำให้เราประหยัดค่าแก๊สไปเยอะเลยทีเดียว และยังทำเวลาได้รวดเร็วมากกว่าแก๊สอีกด้วย สำหรับในการทำอาหาร หรือทำอย่างอื่น หากใครที่สนใจ อย่าลืมนำไปทดลองทำกันได้นะคะ
ขอบคุณข้อมูล : Sivakorn Channel
ขอบคุณบทความดีๆจาก http://news-amazing.com

เตือนภัยใกล้ตัว ปล่อยลูกดูทีวี-มือถือ นานเกิน สุดท้ายป่วยหนัก ตาอักเสบรุนแรง


พ่อโพสต์เตือน ปล่อยลูกดูทีวี-มือถือ นานเกิน สุดท้ายป่วยหนัก ตาอักเสบรุนแรง
วันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ ลงกลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก โดยเป็นภาพของลูกชาย ที่ป่วยด้วยอาการตาอักเสบ ต้องปิดผ้าก๊อซที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง โดยคุณหมอให้นอนค้างที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตุอาการ

โดยผู้โพสต์ระบุด้วยว่า ฝากเตือนแม่ๆที่ปล่อยลูกดู ทีวี มือถือ เป็นเวลานานๆด้วย ปกติจะไม่ค่อยให้ลูกดูแต่วันนั้น พ่อก็ไม่สบายแม่ต้องเอาน้อง ปล่อยให้ดูทั้งวัน ผลที่ได้ตาอักเสบรุนแรง อันตรายมากๆ จนหมอต้องสั่งนอนดูอาการ

ทั้งนี้เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยออกไป ต่างมีคนแชร์ต่อออกไปจำนวนมาก และมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงความอันตรายของแสงจากโทรศัพท์และทีวีมากมาย


ขอยคุณบทความดีจาก https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_2256854 

เกษตรน่าสน ‘มะพร้าวจิ๋ว’ ลูกเล็กจิ๋วแต่หวานมัน ประเทศไทยก็ปลูกได้

ผลไม้บนโลกใบนี้มีมากมายหลายชนิด มีทั้งผลไม้ไทย ผลไม้พื้นเมือง และผลไม้จากต่างประเทศ ซึ่งมีให้เห็น ให้เลือกซื้อรับประทาน บางชนิดก็หาง่าย บางชนิดก็หายาก ตามการปลูกที่มากน้อยแตกต่างกัน และตามความชอบภูมิอากาศของไม้แต่ละชนิด
วันนี้เราก็มีพืชแปลกๆน่าสนใจมาฝากกันอีกแล้วค่ะ กับมะพร้าวจิ๋ว ผลไม้พื้นเมืองของชิลี ลูกขนาดเล็กจิ๋วแต่มีรสชาติหวานมัน โดยเฟซบุ๊กเพจ เห็ดป่า สร้างอาชีพและบูรณาการความรู้ ได้ออกมาเผยภาพ พร้อมระบุว่า

“มะพร้าวจิ๋ว หรือ Coquito Nuts เป็นมะพร้าวขนาดเล็กมาก น่าสนใจครับ เป็นต้นไม้ดั้งเดิมของประเทศชิลี รสชาติหวานมันเหมือนมะพร้าว นินยมนำมาทำขนมหวาน และอีกหลายเมนู บ้านเราปลูกได้นะครับ ขอบคุณเจ้าของภาพดีๆด้วยนะครับ”

มะพร้าวจิ๋ว

ขนาดเล็ก

น่ารัก

ผลสด
เห็นภาพแล้วหลายคนคงคิดว่าเป็นของเล่นตุ๊กตาเสียอีก น่ารักน่ารับประทาน แถมยังปลูกในประเทศไทยได้ ก็น่าสนใจสำหรับเกษตรกรเลยทีเดียวค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.in.th, ขอขอบคุณที่มาจาก : Saksith Suriyagamon

มหัศจรรย์ น้ำมันกัญชาฆ่ามะเร็ง อดีตครูป่วยระยะ 4 ฟื้นขึ้นเดินได้

เป็นไปได้ อดีตครูที่อุบลราชธานี ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย หลังรักษามานานร่วม 11 ปี จนร่างกายไม่ตอบสนองเคมีบำบัด กลับมาบ้าน ใช้น้ำมันกัญชาหยอด จากเจียนตาย ลุกเดินกินข้าวกินน้ำได้เหมือนปกติ
จากที่มีการแชร์ภาพในโลกโซเชียล มีหญิงสูงอายุรายหนึ่ง ป่วยเป็นโรคมะเร็งนานกว่า 11 ปี กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครอบครัวหมดหนทางรักษา เพราะแพทย์ระบุว่าร่างกายผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว สามีจึงนำภรรยามารักษาด้วยน้ำมันกัญชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ถึงวันนี้จากสภาพที่ใกล้ตาย แต่กลับมีอาการดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์นั้น
เรื่องนี้ วันที่ 14 พ.ค. ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้าพิสูจน์ความจริงกับนางละม้าย ชาวชายโขง อายุ 65 ปี ข้าราชการครูบำนาญ พักอาศัยอยู่ในบ้านไผ่ใหญ่ ต.ไผ่ใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โดยนางละม้าย และนายวิเชียร สองสามีภรรยาเล่าให้ฟังว่า เริ่มมีอาการป่วยไม่ทราบสาเหตุเมื่อปี 2552 ได้เดินทางเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งขณะนั้นแพทย์สงสัยจากป่วยเป็นไทรอยด์ หรือทอนซิล เพราะมีอาการเหนื่อยและรู้สึกผิดปกติบริเวณลำคอ แต่เมื่อแพทย์นำชิ้นเนื้อไปตรวจก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่ยังมีอาการป่วย ลูกที่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงพาไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2553
กระทั่งทราบว่า นางละม้ายป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอด้านซ้าย แพทย์จึงส่งไปให้แพทย์เฉพาะทางช่วยรักษา โดยทำการผ่าตัดเอาชิ้นเนื้อร้ายออก พร้อมทำการรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่กันไป


นางละม้าย ซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนประถมในอำเภอม่วงสามสิบ จึงได้เออรี่ออกจากราชการมารักษาตัว เพราะต้องไปพบแพทย์ตามที่นัดทุกครั้ง ปรากฏปี 2557 กลับมีอาการป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอีก และอาการป่วยเริ่มลามไปยังบริเวณไหล่ แพทย์วินิจฉัยป่วยจากเชื้อมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง จึงต้องรับเคมีบำบัดและเข้ารับการตรวจรักษาต่อเนื่องจนถึงปี 2559
ต่อมาในปี 2561 พบว่าอาการป่วยของนางละม้ายได้ลุกลามเพิ่มขึ้นจากการป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 2 และ 3 กลายเป็นป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายในขั้นที่ 4 เพราะเชื้อได้ลามเข้าไปในทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง ต้องเข้ารับเคมีบำบัดเป็นระยะตามแพทย์สั่ง
กระทั่งต้นเดือนเมษายน 2562 แพทย์ที่ให้การรักษาระบุว่า ร่างกายของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการทำคีโมแล้ว พร้อมส่งตัวให้ไปทำการรักษาด้วยการฉายแสง แต่ปรากฏระหว่างนั้นสภาพร่างกายผู้ป่วยเริ่มทรุดอย่างหนัก และมีเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์จึงนัดให้มาทำการฉายแสงในเดือนมิถุนายนที่จะถึง นางละม้าย จึงบอกกับนายวิเชียร ชาวชายโขง สามีให้นำตนเองกลับมาตายที่บ้าน เพราะมีอาการหนัก มีไข้สูง กินน้ำและอาหารไม่ได้เลย
นายวิเชียร จึงตัดสินใจโทรศัพท์สอบถามคนรู้จักที่เคยแนะนำให้ลองนำน้ำมันกัญชาสกัดใช้รักษามะเร็ง เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะช่วยภรรยาของตนเอาไว้ได้ เมื่อได้รับน้ำมันกัญชาสกัดมาจากเพื่อน และกำลังนำภรรยาขึ้นรถกลับบ้านเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา ระหว่างทางได้หยอดน้ำมันกัญชาให้ภรรยาอมไว้ใต้ลิ้น เมื่อกลับมาถึงบ้านปรากฏอาการไข้ของนางละม้ายที่มีไข้สูง 35 องศาเซลเซียส ติดต่อกันมา 8-9 วัน ได้หายไป รวมทั้งนางละม้ายมีสีหน้าดีขึ้น ไม่มีอาการเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนช่วงที่ยังอยู่กรุงเทพฯ
ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ให้น้ำมันกัญชาให้นางละม้ายอมไว้ใต้ลิ้น รวมทั้งนำน้ำมันมาทาบริเวณแผลติดต่อกันราว 2 สัปดาห์ อาการปวดบวมจากแผลของมะเร็งที่แตกและลุกลามจากลำคอฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง และยังลามไปบริเวณทรวงอก ก็ลดลงอย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งขณะนั้นใช้นำมันกัญชาไปได้ราว 15 ซีซี จึงขอน้ำมันกัญชาจากเพื่อนมาใช้รักษาเพิ่ม


จนถึงวันนี้ ใช้น้ำมันกัญชาไปแล้วเกือบ 30 ซีซี ปรากฏนางละม้ายภรรยา ซึ่งเมื่อกลางเดือนเมษายนยังมีอาการทรุดหนัก และเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมทุกคนต่างบอกว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน สามารถลุกขึ้นมากินข้าวกินน้ำได้ตามปกติ แผลที่เคยปวดบวมบริเวณลำคอและลามไปถึงหน้าอก ก็ยุบหายไปทั้งหมด โดยวันนี้ นางละม้ายสามารถเดินออกไปเก็บเห็ดจากป่าในหมู่บ้านเพื่อนำมาทำกินได้แล้ว
ส่วนน้ำมันกัญชาที่เหลือ ยังจะนำมาใช้รักษาอาการต่อไป จนกว่าจะครบ 90 วัน ตามที่ได้รับคำแนะนำคือ ให้ใช้น้ำมันกัญชารักษาโรคนี้ราว 60 ซีซี ใน 90 วัน เมื่อถึงเดือนมิถุนายนก็จะเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลที่นัดดูอาการ เพื่อให้ตรวจดูเกล็ดเลือด แต่คงไม่ฉายแสงตามที่เคยได้รับคำแนะนำแล้ว เพราะเชื่อว่า การใช้น้ำมันกัญชาสามารถหายป่วยจากโรคนี้ได้
ด้านนางละม้ายกล่าวว่า ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวต้องใช้เงินรักษาอาการป่วยของตนไปจำนวนหลายล้านบาท ขณะที่ป่วยหนักในระยะสุดท้าย ไม่รู้สึกกลัวที่จะต้องตาย คิดเพียงอยากมีโอกาสหายและกลับมาบวชชีอีกสักครั้งเท่านั้น และอยากรู้ว่าการตายนั้นต้องเจ็บปวดอย่างไรด้วย แต่เมื่อวันนี้ยังมีชีวิตอยู่จึงอยากให้รัฐบาลให้โอกาสคนป่วยได้ใช้น้ำมันกัญชาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะตนใช้อย่างได้ผลมาแล้ว
ขณะที่ นายวิเชียร ที่เป็นสามีระบุว่า ตอนแรกไม่เคยคิดเอาน้ำมันกัญชามารักษาภรรยา เพราะเห็นว่าการรักษาด้วยการผ่าตัดและใช้เคมีบำบัด ก็ช่วยรักษาอาการป่วยได้ แต่ก็ปรากฏเหมือนตัดต้นไม้แต่ยังเหลือราก ตัดออกแล้วแต่ก็กลับมาป่วยได้อีก ตลอดช่วงที่ผ่านมาตนต้องลาออกจากงานบริษัทเอกชนเพื่อมาดูแลภรรยาที่ป่วยกว่า 10 ปี แต่การรักษาก็ไม่ได้หายอย่างเด็ดขาด
"มาวันนี้ อยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้โอกาสคนป่วยมีทางเลือกในการรักษา อย่าให้คนป่วยต้องตกอยู่ในสภาพไม่มีทางเลือก โดยต้องใช้ยาเคมีที่อาจเป็นธุรกิจของคนบางกลุ่ม แต่คนรับกรรมคือคนที่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ได้ไปขอขึ้นทะเบียนมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อรักษาอาการป่วยแล้ว ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นข่าว เพราะคนที่รู้จักกันในกลุ่มสอบถามที่นำต้นกัญชามาลูก ก็บอกจะปลูกเพื่อเอาใบสดไปต้มเป็นน้ำชาให้ภรรยากิน นึกไม่ถึงจะมีการนำออกไปแชร์ในเฟซบุ๊กจนเป็นข่าวในขณะนี้"
น.ส.ชลิตตรา สิงห์อ่อน เพื่อนบ้านของนางละม้าย เล่าว่า ทราบอาการป่วยของอาจารย์มานานหลายปี ตอนที่ยังไม่ป่วยหนัก ก็ยังพูดจาได้ กระทั่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนายวิเชียรนำอาจารย์ละม้ายกลับมาที่บ้านใหม่ๆ ได้เข้าไปเยี่ยมดูอาการ ช่วงนั้นนางละม้ายยังพูดไม่ได้ เพราะมีอาการเจ็บบริเวณลำคอ ซึ่งตนก็คิดว่านางละม้ายมีอาการหนักกว่าทุกครั้งที่เห็น แต่เวลาผ่านไปประมาณ 2 สัปดาห์ เห็นนางละม้ายมีอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จากกินข้าวกินน้ำไม่ได้ ก็กินได้ และต่อมาก็ออกเดินเหินนอกบ้านและพูดคุยได้ จึงสอบถามนายวิเชียร บอกว่าใช้น้ำมันกัญชารักษาอาการป่วย ตนเองก็รู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างนี้คาดว่าอาจารย์ละม้ายก็คงมีชีวิตอยู่ไปได้อีกนานแน่นอน.
.ขอบคุณบทความดีๆจาก https://www.thairath.co.th/

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

การทำเกษตรแบบสวนกระแสเพิ่มรายได้มากกว่าเดิม



เมื่อชีวิตในปัจจุบันที่แสนจะรีบเร่ง ใช้ชีวิตอย่างเร่งด่วนไปในทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น การกิน การเดินทาง การท่องเที่ยว หรือจะเป็นการใช้ชีวิตต่าง ๆ ก็มองหาคำว่า สะดวก รวดเร็ว ทำให้ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นในเมืองใหญ่ หรือผู้คนในที่ต่าง ๆ ก็เน้นย้ำกับคำว่า ด่วน ด่วนมาก ด่วนที่สุด และท้ายที่สุดแล้วจบลงกับปัญหาสุขภาพ และมุมมองความคิดในช่วงไม่นานมานี้ ผู้คนหันมาใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ที่เรียกกันว่า Slow Life ช้าๆ ค่อยๆ ไป ค่อยๆ ทำ และมองว่าการ


ทำอะไรช้าจะช่วยให้อะไร ๆ มันดีขึ้นนั่นเอง และหลายคนก็เลือกที่จะหันหลังให้กับชีวิตในเมืองใหญ่ ชีวิตที่เร่งรีบ และเลือกที่จะกลับสู่วิถีดั้งเดิมของไทย นั่นก็คือ การเกษตร หรือ เกษตรกร ในอดีตนั้นอาชีพเกษตรกรมักจะถูกมองว่า เป็นอาชีพที่เป็นพลเมืองชั้นสอง อาชีพแรงงาน อาชีพที่เหนื่อยและมักจะกินทุน รวมไปถึงไม่ก่อเกิดกำไร บางรายยิ่งทำก็เหมือนยิ่งถดถอย ไม่ว่าจะสภาพดิน ฟ้า อากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ฝนแล้ง น้ำน้อยก็ขาดทุนกันไปเป็นจำนวนมาก แต่การเรียนรู้และศึกษา รวมไปถึงการทำเกษตรแบบแนวใหม่ ที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั้น กลับพลิกอนาคตเกษตรกร กลายเป็นนักธุรกิจ กลายเป็นอาชีพที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก ทำอย่างไรที่จะประสบความสำเร็จ แบบเกษตรกรรุ่นใหม่กันบ้าง


1. จัดทำแหล่งเรียนรู้ ศึกษาธรรมชาติ?/ ทำโฮมสเตย์ ในอดีตนั้นการทำการเกษตรของเกษตรกรก็คือการทำ ลงแรง ลงเงิน บางคนก็เรียนรู้ต่อๆ กันมา จากรุ่นสู่รุ่น ทำแบบดั้งเดิมจนเป็นแบบแผน แต่ไม่มีใครที่จะศึกษาและเรียนรู้อย่างจริงจัง เมื่อฝนแล้ง น้ำไม่พอ หรือเจอปัญหารูปแบบไหนจะแก้ไขอย่างไร บางครั้งจะรอให้เกษตรจังหวัด นักพัฒนา นักวิชาการมาช่วยแก้ไข มาช่วยดูแล แต่หากมีความรู้และศึกษาอย่างจริงจังแล้วนั้น ก็สามารถจัดสวน จัดไร่ จัดนาให้กลายเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ เป็นต้นแบบให้แก่เกษตรกรท่านอื่น เป็นแหล่งศึกษาให้นักเรียน นักศึกษาและผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ยังจัดเป็นที่พัก ที่อาศัยให้กับนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ธรรมชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ที่ดีอีกด้วย


2. การขายอุปกรณ์การเกษตร?/ ขายปุ๋ย เครื่องมือและวัสดุในการเกษตร เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเกษตรกรทุกคน แต่หากเราหาช่องทางในการขายอุปกรณ์และเครื่องมือทางการเกษตรได้ ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ได้อีกทางหนึ่ง และมากไปกว่านั้น การทำปุ๋ยชีวภาพใช้เองได้นั้น ก็จะสามารถประหยัดต้นทุนในการจ่ายเงินเพื่อรักษาและบำรุง เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ได้ ช่องทางหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือ การขาย ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรได้เช่นเดียวกัน


3. การทำเกษตรแบบสวนกระแส?ในหลายครั้งนั้นเกษตรกรมักจะมองหาและลงทุนในการปลูกพืชเศรษฐกิจ พืชที่ขายได้ราคาในช่วงนั้น แต่หารู้ไม่ว่า หากทำเช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นราคา หรือความเสียหายที่เกิดขึ้นจะตามมาเป็นจำนวนมาก เพราะพืชผลนั้นล้นตลาด และมักกดราคากันเอง จนท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีราคาสูงแต่อย่างใด รวมไปถึงการทำเกษตรในรูปแบบดังกล่าว หากมีความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นโรคพืช ปัญหาทางธรรมชาติ ฝนแล้ง น้ำน้อย ก็สร้างความเสียหายได้ ดังนั้นการทำเกษตรแบบสวนกระแส ก็จะเป็นคำตอบที่จะช่วยให้พืชผลมีราคาไปตามกลไกการตลาด และอาจจะเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ยิ่งขึ้นนั่นเอง



4. การทำเกษตรแบบไม่เน้นขาย?อ่านประโยคนี้จบ คงมีผู้อ่านหลายท่านกลับไปอ่านใหม่อีกครั้งเพื่อความแน่ใจ อยากรวยจากการเกษตร แล้วถ้าไม่ขายจะรวยได้อย่างไร แน่นอนค่ะว่า หากเราขายพืชผลทางการเกษตร จะทำให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขาย แต่อย่าลืมสิคะว่า เราก็จำเป็นต้องซื้อสินค้า เพื่อกิน เพื่อใช้เช่นเดียวกัน ดังนั้น หากมีอะไรที่เราสามารถจะปลูกกินเองได้ ไม่ว่าจะเป็นผักสวนครัว ผลไม้บางชนิด ก็แบ่งที่ดินบางส่วนมาปลูกไว้กิน ไม่ซื้อเขา บางทีอาจมีเหลือถึงขั้นขาย และเป็นมูลค่าตอบแทนในอนาคตได้เช่นเดียวกันนั่นเอง


ข่อมูลจาก : สยามอาชีพ

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

มีเงินทุน 500 ก็สร้างอาชีพได้กับ 4 อาชีพเกษตร ทุนเริ่มต้นน้อย เหมาะสำหรับมือใหม่

เงินทุนเริ่มต้น 500 ก็ทำได้กับ 4 อาชีพเกษตร ทุนเริ่มต้นน้อย เหมาะสำหรับมือใหม่ ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ทำอะไรก็ยาก ค้าขายก็ลำบาก ยิ่งเกษตรกรที่ต้องมาเจอกับราคาพืชผลตกต่ำจนแทบจะไม่อยากเพาะปลูกอะไร เพราะปลูกไปก็มีแต่ขาดทุน จะลงทุนทำฟาร์มหรือแปลงปลูกใหญ่โตก็ลำบาก ไหนจะต้นทุนที่สูง การจ้างแรงงาน
แต่อย่ากังวลไปสำหรับบทความนี้เราได้นำเอา 4 อาชีพ เริ่มต้นทำเกษตรด้วยทุนน้อย เริ่มต้นแค่หลักร้อยก็สามารถสร้างงานสร้างอาชีพได้
1. เพาะถั่วงอกในขวด
ต้นทุน 490 บาท
– ขวดน้ำพลาสติกเปล่าที่ไม่ได้ใช้แล้ว 0 บาท
– ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม 35 บาท ( 14 กิโลกรัม = 490 บาท )
วิธีเพาะ
1. แช่เมล็ดถั่วเขียวในน้ำอุ่น 1 คืน ( แช่น้ำอุ่นจะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น )
2. นำขวดพลาสติกมาเจาะรูด้านข้าง เพื่อไว้เป็นรูระบายน้ำ
3. นำถั่วเขียวที่แช่น้ำมาใส่ในขวดพลาสติกที่เจาะรูแล้ว หาผ้าห่อขวดไว้เพื่อรักษาความชื่น และ ไม่ให้มีแสงส่องผ่าน ( ถ้ามีแสงส่องเข้าไปถึง ถั่วงอกจะมีใบงอกออกมา)
4. รดน้ำ เช้า-เย็น ทุกวัน ประมาณ 3 วันสามารถเก็บขายได้ ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม นำมาเพาะจะได้ถั่วงอก 7 กิโลกรัม ราคาขายกิโลกรัมละ 10 บาทเท่ากับว่า ถั่วเขียว 1 กิโลกรัม จะได้กำไร 35 บาท
2. เพาะเห็ดนางฟ้าภูฎานในบ่อปูนซีเมนต์
ต้นทุน 470 บาท
– บ่อปูนซีเมนต์ 120 บาท
– ก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าภูฎาน ก้อนละ 10 บาท ( 1 บ่อ เพาะได้ประมาณ 35 ก้อน เท่ากับ 350 บาท )
– ผ้าคลุม
– แผ่นไม้เก่าๆ 1 แผ่น
วิธีเพาะ
– ตะแคงบ่อปูนในแนวตั้ง หาแผ่นไม้มาวางรองเป็นฐาน
– เปิดก้อนเชื้อเห็ดโดยการแกะกระดาษและเศษต่างๆที่หุ้มตรงจุกก้อนเชื้อเห็ดออก แล้วนำก้อนเห็ดมาวางเรียงซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ
– รดน้ำ วิธีรดน้ำนั้นให้รดลงไปบนก้อนเชื้อเห็ด อย่าให้เข้าไปในช่องก้อนเชื้อ จากนั้นใช้ผ้าคลุมแล้วรดน้ำใส่ผ้าอีกที เพื่อรักษาความชื้นในบ่อ
– จากนั้นให้รดน้ำวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ประมาณ 5-7 วัน ดอกเห็ดจะเริ่มงอก ส่วนราคาขาเห็ดนางฟ้าภูฎานอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 – 120 บาท
3. เพาะเห็ดฟางในตะกร้า
ต้นทุนประมาณ 150 – 300 บาท
– ตะกร้า 5 ใบ ราคาใบละ 20 บาท = 100 บาท
– หัวเชื้อเห็ดฟางประมาณ 50 บาท
– ฟางข้าว ขี้เลื่อย
– ชั้นวางเก่าเหลือใช้
– ถุงพลาสติกดำ 50 บาท
วิธีเพาะ
1. นำฟางข้าวไปแช่น้ำ 1 คืน แล้วนำมาผึ่งให้แห้ง
2. จากนั้นใส่ฟางลงไปที่ก้นตะกร้า ใส่ขี้เลื่อย และ โรยเชื้อเห็ดฟางตามลงไป
3. ทำซ้ำแบบข้อ 2 จนเต็มตะกร้า แต่ชั้นบนสุดให้โรยขี้เลื่อยและหัวเชื้อให้เยอะหน่อย เห็ดจะได้ออกดอกเต็มพื้นที่
4. ครอบด้วยถุงพลาสติกดำ จากนั้นรอ 4-5 วันให้สังเกตุดูว่าจะมีละอองน้ำเกาะถุงพลาสติกอยู่แต่ถ้าไม่มีให้รดน้ำเพิ่ม
5. ประมาณ 12 วันเห็ดจะเริ่มออกดอก แล้วนับไปอีก 5 ค่อยเก็บดอก จะได้เห็ดประมาณ 2 กิโลกรัมต่อ 1 ตะกร้า
หมายเหตุ : ช่วงวันที่ 4 ถึงวันที่ 9 ห้ามเปิดถุงเด็ดขาด จะทำให้เห็ดไม่โต
4. เพาะสาระแหน่ในตะกร้า
ต้นทุน 420 บาท
– ตะกร้าพลาสติก 20 บาท
– ถาดรองสำหรับกักเก็บน้ำ 20 บาท
– หินเพอร์ไลท์ + ถาดหลุม 160 บาท ( หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ ใช้ปลูกต้นไม้แทนดินได้ แต่มีคุณสมบัติดีกว่าดิน )
– ปุ๋ยน้ำ 200 บาท
– สาระแหน่จากตลาดประมาณ 2 กรัม 20 บาท
วิธีเพาะ
1. เลือกยอดอ่อนของสาระแหน่ โดยเลือกยอดที่ดูแล้วสมบูรณ์ แข็งแรง ใบไม่หลุด เพาะส่งผลต่อการเพาะปลูกให้ได้ผลผลิตดียิ่งขึ้น
2. ริดใบส่วนล่างออกให้เหลือใบเลี้ยงไว้ที่ปลายยอด 2-3 ใบ
3. เอายอดที่เตรียไว้มาปักลงในถาดหินเพอร์ไลท์ด้วยความระมัระวัง
4. นำถาดหินเพอร์ไลท์ไปใส่ลงในตะกร้า แล้วนำตะกร้าวางไว้ในถาดรองอีกที พยายามรักษาระดับน้ำให้อยู่ระดับฐานของตะกร้าตลอดเวลา คอยเติมเวลาน้ำลดน้ำที่เติมให้ผสมปุ๋ยน้ำลงไปด้วย วิธีผสมตามอัตราส่วนที่ระบุในขวด
5. ประมาณ 1 เดือนจะเริ่มแตกใบออกยอด เป็นต้นสาระแหน่สวยงามเต็มตะกร้าพร้อมให้เราได้เก็บเกี่ยว สามารถนำยอดอ่อนใหม่มาขยายเพาะซ้ำได้เรื่อยๆ
พืชผักเหล่านี้ล้วนเป็นผักสวนครัวหลักๆที่ใช้ในการประกอบอาหาร มีความต้องการของตลาดสูง คิดดูว่าถ้าเราลองปลูกด้วยต้นทุนเริ่มต้นแค่หลักร้อย ถ้าสามารถหาตลาดรองรับได้ ขายผลผลิตได้ ก็ถือว่าได้สร้างเส้นทางอาชีพ และ ช่องทางการหารายได้เสริม เผลอๆอาจจะขยับขยายจนสร้างเป็นฟาร์มขนาดใหญ่
แต่ถ้าขายไม่ได้พืชผักเหล่านี้เป็นผักสวนครัวที่ใช้ในการประกอบอาหารอยู่แล้ว เราก็ได้เอามาทำเป็นอาหารไว้ทานเองในบ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อกับข้าวไปในตัว ได้ประโยชน์ทั้งสองทางเลย
ข้อมูลเหล่านี้เป็นแค่การประเมิณคร่าวๆ ต้นทุนทั้งหมดอาจจะมากขึ้นหรือน้อยลง ขึ้นอยู่กับการจัดหาอุปกรณ์ในการปลูก
ข้อมูลและภาพจาก postnoname

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ขุดบ่อให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี แม้ในหน้าแล้ง


“เกษตรกรต้องเลิกคิดว่า น้ำเป็นของเทวดา ให้มองน้ำเป็นของไม่แน่นอน ต้องสร้างแหล่งน้ำไว้เป็นหลักประกันให้กับตัวเอง มีน้ำเหมือนกับมีประกันชีวิต อย่าไปคิดว่า ขุดสระแล้วจะเสียพื้นที่ทำกิน มีสระมีน้ำตุนเก็บไว้นี่ต่างหากจะช่วยให้เราทำมาหากินได้ทุกเมื่อ ได้ทั้งปี เกษตรกรควรขุดสระน้ำเตรียมรับมือภัยแล้งเพราะปีหน้าและปีต่อๆไป ปัญหาจะรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ”
รศ.ดร.บัญชา ขวัญยืน รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า อย่าขุดเหมือนที่ผ่านมา เพราะใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ เก็บน้ำไม่ได้ บางแห่งปล่อยทิ้งให้รกร้างไปเกือบ 50% เพราะขุดแบบไม่คำนึงถึงหลักความเป็นจริงของธรรมชาติ…ไปขุดบ่อน้ำบนที่ดอน แถมยังทำคันบ่อที่สูงจนน้ำไหลเข้าไปไม่ได้ กลายเป็นหลุมร้างไร้ประโยชน์ จะขุดสระน้ำให้ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่ ดร.บัญชาแนะว่า พื้นที่สระน้ำต้องมีอย่างน้อย 1 ไร่ ถึงจะเพียงพอใช้ในหน้าแล้ง และยังใช้เลี้ยงปลาได้อีกด้วย
ส่วนพื้นที่จะขุด ให้เลือกบริเวณที่ลุ่มต่ำ สังเกตได้บริเวณนั้นจะมีกรวดถูกน้ำพัดไหลมารวมกัน ขุดไปเถอะข้างล่างจะมีดินดานช่วยเก็บน้ำได้ดี…อย่าไปขุดบนเนินดิน นอกจากจะไม่มีน้ำไหลมาเข้าบ่อแล้ว ขุดลงไปข้างล่างยังเป็นดินร่วน เก็บน้ำไม่อยู่ น้ำซึมลงใต้ดินหมด
“ความลึกของสระที่เหมาะ 4-5 ม. และวัดความลึกจากพื้นดินเดิม ไม่ใช่ขุดแบบราชการ จะขุดกันแค่ 3 ม. แถมวัดแบบขี้โกง วัดจากคันดินที่กองอยู่ข้างบน ไปๆมาๆลึกแค่ 2 ม.เอง เก็บน้ำไม่พอใช้หน้าแล้งแน่ เพราะน้ำมีการระเหยออกไปวันละ 3 มม. คิดดูแล้วกันหน้าแล้ง 7 เดือน (พ.ย.-พ.ค.) 200 กว่าวัน น้ำจะหายไปแค่ไหน ไม่เหมือนกับขุดลึก 4-5 ม. ถึงจะระเหยไป น้ำยังเหลืออีกเยอะ”
ขุดดินขึ้นมาแล้ว ถ้ามีคนมาขอซื้อดินไปถมที่ก็ให้ไป แต่ถ้าไม่รู้จะเอาไปไหนต้องวางกองรอบ ขอบสระ ควรให้กองดินอยู่ห่างจากขอบสระ 1-2 ม. เพื่อกันดินไหลลงบ่อ
ที่สำคัญ อย่ากองดินปิดขอบสระจนหมด ต้องเปิดทางให้น้ำหลากไหลเข้าสระได้ด้วย ถ้าปิดหมด รอให้ฝนตกลงสระอย่างเดียว น้ำจะไม่มีวันเต็มสระ…ไม่นานจะกลายเป็นบ่อร้าง
“สระที่จะขุดควรเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส เพราะจะเสียพื้นที่ขอบบ่อน้อยที่สุด และการขุดสระเพื่อป้องกันตลิ่งทรุดพัง ควรมีลาดเอียงในอัตรา 1 : 1 แต่ถ้าสระลึก 4 ม.ขึ้นไป จะต้องขุดแบบให้มีตะพัก เพื่อป้องกันตลิ่งชันทรุดในช่วงน้ำน้อยด้วย”
ที่สำคัญ ดร.บัญชา ย้ำว่า เมื่อขุดสระน้ำมาแล้ว ควรที่จะนำน้ำไปใช้เพื่อปลูกพืชชนิดอื่นๆ ไม่ใช่ขุดเพื่อเอาน้ำไปทำนา เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการลงทุน.
ไชยรัตน์ ส้มฉุน
ขอบคุณข้อมูล : ไทยรัฐ

แบบบ้านสไตล์โมเดิร์น 38 แบบ สร้างด้วยงบไม่เกิน 2-6 แสนบาท!!!!

แบบบ้านสไตล์โมเดิร์น 38 แบบ สร้างด้วยงบไม่เกิน 2-6 แสนบาท
สำหรับการหาบ้านสักหลังของใครสักคนนั้นก็คงต้องอยากได้บ้านในแบบที่ตัวเองอยากมีและด้วยงบที่มีอย่างจำกัดด้วยเช่นกัน และวันนี้จะพาเพื่อนมาดู 40 แบบบ้านสไตล์โมเดิร์น สร้างด้วยงบ 2-6 แสนบาท บ้านบ้างหลังอาจถูกแพงแล้วแต่วัสดุในการก่อสร้างหรือค่าแรง ขนาดของบ้าน ราคานี้เป็นราคาเฉพาะบ้าน ไม่รวม เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่ง เครื่องใช้ ต่างๆ ภายในบ้าน วันนี้เรานำไอเดียมาแบ่งบันกันไปดูกันเลย
1.บ้านปูนลอฟท์ชั้นเดียวยกพื้นสูง ออกแบบง่ายแต่น่าอยู่ เน้นอยู่อาศัยเพียงไม่เกิน 2 คน ตัวบ้านสร้างด้วยโครงสร้างปูน มุงหลังคาเมทัลชีท รูปทรงหลังคาแบบเพิงหมาแหงน ภายในตัวบ้านมี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ และ 1 ห้องโถงที่สร้างไว้เป็นห้องอเนกประสงค์ จะเป็นห้องครัว หรือรับแขกก็สามารถทำได้ในห้องเดียว ส่วนด้านหน้าบ้านมีพื้นที่แบ่งไว้เป็นระเบียงหน้าบ้านอีกด้วย เป็นแบบบ้านที่เหมาะสำหรับทำเป็นบ้านสวนตากอากาศ พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 47.75 ตารางเมตร สร้างในงบประมาณ 251,000 ขอบคุณที่มาแบบบ้านของคุณ Vutdy Boonnak Micro
2.แบบบ้านโมเดิร์น หลังเล็กงบก่อสร้างประมาณ 5 แสนบาท งบก่อสร้างประมาณ 590,000 บาท ภาพจาก รับสร้างบ้าน แบบบ้านสวย โดย Functionhouse ลองชมเป็นไอเดียกันครับสำหรับท่านที่งบประมาณจำกัด สนใจแบบบ้านและรายละเอียดกา่รก่อสร้าง ติดต่อได้ที่ Functionhouse
3.บ้านโมเดิร์นชั้นเดียวโทนสีเข้ม สร้างได้ในงบประหยัด ออกแบบได้ลงตัวสวยงาม ตัวบ้านหลังนี้เป็นแบบบ้านชั้นเดียวงบประมาณในการก่อสร้าง 4-5 แสนบาทเท่านั้น ตัวบ้านสร้างด้วยโครงสร้างปูนทั้งหลัง ส่วนหลังคาเป็นโครงเหล็กมุงด้วยหลังคาเมทัลชีท เสริมความสวยงามด้วยการใส่ไม้เทียมสีเข้มโทนเดียวกับตัวบ้าน โดยหลังคาใช้ทรงเพิงหมาแหงนต่างระดับ เน้นความโมเดิร์นทันสมัย เชิญชมเพื่อเป็นไอเดียในการสร้างบ้านกันครับ บ้านของ คุณ ณัฐพล ลิขิตวณิชกุล , จาก naibann.com
4.บ้านสีฟ้า สีสดใส ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว ราคางบ 450,000 บาท ที่มา idea.app
5.บ้านสไตล์โมเดิร์น ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องโถง 1 ห้องน้ำ 1 ห้องเปล่า ราคาประมาณ 460,000 บาท ที่มา nokkrajab.jujub
6.บ้านสวย ขนาดกลาง รวม 6*10.5 ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก ที่มา Fa Home
7.แบบบ้านหลังน้อยยกพื้นต่ำ ภายนอกดูเรียบๆ แต่ภายในน่ารักอบอุ่น ตกแต่งสไตล์วินเทจสุดคลาสสิค งบประมาณก่อสร้างราวๆ 500,000 กว่าบาท ที่มา Tinyhouseswoon
8.บ้านขนาดกลาง ราคา 3-4 แสนบาท ที่มา chiangraifocus.com
 
9.บ้านหลังเล็ก ราคาประมาณ 200,000 บาท เหมาะสำหรับสร้างครอบครัวเล็กอยู่ต่างจังหวัด ที่มา chiangraifocus.com

10.บ้านโมเดิร์นขนาดพออบอุ่นในงบ 500,000 บาท เรียกได้คุ้มมาก ที่มา Sodsen.Dee

11.บ้านสีชมพูน่ารักๆ หลังขนาดกลาง ในงบ 450,000 บาท ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีห้องรับแขก ที่มา PKS-Design

12.บ้าน Loft เล็กๆ ทำตามงบที่มี ผสมผสาน DIY งบไม่เกิน 160,000 บาท ที่มา ihome108.com

13. บ้านหลังเล็ก กะทัดรัด ขนาด 7*7.15 รวม 50.05 งบประมาณ 500,000 บาท ที่มา Tanapatw
14.บ้านกาแฟ ออกแบบเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องเสื้อผ้า และมีเฉลียงพักผ่อนรับวิวธรรมชาติ แถมใช้งบประมาณเพียงไม่เกิน 500,000 บาท ที่มา amazingthaiproperty.com
15.บ้านกะทัดรัด ขนาด 6*9 ตร.ม.ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องโถง รวมทั้งหมด 380,000 บาท ที่มา pantip.com
16.แบบบ้านหลังน้อยยกพื้นต่ำ ออกแบบเพื่อการพักผ่อนสุดชิลล์ มาพร้อมระเบียงเล็กๆ ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร งบก่อสร้าง 350,000 – 550,000 บาท (ไม่รวมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์)
17.บ้านชั้นเดียว สไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ราคาในงบ 530,000 บาท ที่มา SORN.bangkrathum
18. บ้านครอบครัวเริ่มต้น 2 ห้องนอน สไตล์โมเดิร์น กะทัดรัดเป็นส่วนตัว มาพร้อมระเบียง ประกอบด้วย ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 80 ตารางเมตร คิดเป็นงบก่อสร้างจะอยู่ที่ 500,000 บาท (ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้,ไม่รวมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์)
19. บ้านโมเดิร์นเพิงหมาแหงน ขนาดกะทัดรัด แต่งผนังไม้อบอุ่น ขนาด 2 ห้องนอน งบประมาณ 500,000 บาท บประมาณที่ใช้ก่อสร้างก็อยู่ที่เพียง 500,000 บาทเท่านั้น เพราะเป็นบ้านขนาดเล็ก พื้นที่ใช้สอย 48 ตารางเมตร มีทั้งหมด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ

20. บ้านโมเดิร์นเพิงหมาแหงน 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 69 ตารางเมตร (หน้ากว้าง 6.00 เมตร x ลึก 11.50 เมตร) ก่อสร้างง่ายราคาประหยัด งบประมาณ 5 แสนบาท
21.บ้านโมเดิร์นชั้นเดียว โทนสีเขียวสุดแจ่ม พร้อมเฉลียงกว้าง งบประมาณ 5 แสนนิดๆ ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ
22. บ้านยกพื้นผนังไม้เฌอร่า เติมสุขเล็กๆ ในการออกแบบ ออกแบบบ้านสีขาว ตกแต่งสไตล์วินเทจ ขนาดของตัวบ้าน 5.5×7 เมตร ระเบียง 2.5×4 เมตร ยกเสาสูง 60 เซนติเมตร งบประมาณไม่รวมตกแต่ง ประมาณ​ 3 แสนบาท
23.บ้านโมเดิร์นกลางนา ถวิลหาความเรียบง่าย บ้านกลางนา สร้างบ้านพักตากอากาศ ไอเดียกลางท้องทุ่งนา พื้นที่ใช้สอยรวม 44 ตร.ม. และส่วนของระเบียงนอกบ้าน 12 ตร.ม. หน้ากว้าง 4 x 11 เมตร งบประมาณ 5.5 แสนบาท
24.บ้านไอเดียแฟมิลี่ ขนาด 7 เมตร ลึก 8.5 เมตร ประมาณราคาเบื้องต้นไว้ที่ 5 แสนบาท
25.บ้านหลังเล็ก สีฟ้า น่ารัก ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว รวมระบียง รั้ว ถนน ราคาในงบ 450,000 บาท
ที่มา facebook:idea.app
26.บ้านแบบโมเดิร์น ขนาดเล็ก งบประมาณไม่เกิน 500,000 บาท ที่มา modernhomeplan
27.บ้านไม้พร้อมออฟฟิศขนาดกะทัดรัด ลักษณะบ้านขนาดชั้นเดียว 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 30 ตารางเมตร คิดเป็นงบก่อสร้างจะตกอยู่ที่ 360,000 บาท
28.บ้านไม้โมเดิร์น สงบเงียบ ตอบโจทย์คนงบน้อย ประมาณ 240,000 บาท
29.บ้านสไตล์ชนบท เกษตรพูนทรัพย์ ในงบ 450,000 บาท พื้นที่ใช้สอย 45.00 ตร.ม.

30.บ้านเกษตร ชั้นเดียว บนพื้นที่ดินแคบ ในงบประมาณ 5 แสนบาท แบบบ้านเกษตร แบบบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงได้ตามต้องการ 1ห้องนอน 1ห้องน้ำ 1ห้องครัว สามารถจอดรถยนต์ได้ 1 คัน
31.บ้านหลังน้อยเรียบง่าย สไตล์โมเดิร์น โทนสีฟ้าสดใส งบประมาณก่อสร้าง 540,000 บาท ผลงานจาก PKS. Design ประกอบไปด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 57 ตารางเมตร ใช้งบประมาณในการสร้างที่ 540,000 บาท
32.บ้านหลังน้อยยกพื้นต่ำ ภายนอกดูเรียบๆ แต่ภายในน่ารักอบอุ่น ตกแต่งสไตล์วินเทจสุดคลาสสิค งบประมาณก่อสร้างราวๆ 500,000 กว่าบาท
33.บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น หลังคาเพลิงหมาแหงน ตัวบ้านตกแต่งในโทนสีชมพูอ่อนทั้งหลัง พื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัวไทย +เฉลียงพักผ่อน ด้วยงบประมาณไม่เกิน 500,000 บาท
34.บ้านสไตล์ลอฟ (ปูนเปือย) ยกสูงในงบไม่เกิน 5 แสนบาท สวยมากๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการบ้านหลังไม่ใหญ๋แต่มีดีไซน์
35.บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น หลังคาเพลิงหมาแหงน ตัวบ้านตกแต่งในโทนสีชมพูอ่อนทั้งหลัง ขนาดของตัวบ้านกว้างประมาณ กว้าง 7.00 เมตร x ลึก 14.50 เมตร มีพื้นที่ใช้สอย 93 ตร.ม. ประกอบด้วย 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัวไทย +เฉลียงพักผ่อน ด้วยงบประมาณไม่เกิน500,000 บาท
36.บ้านสีชมพูน่ารักๆ หลังขนาดกลาง ในงบ 450,000 บาท ประกอบด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว มีห้องรับแขก
37.บ้านตากอากาศขนาดเล็กๆ สไตล์โมเดิร์น ออกแบบให้มีความเรียบง่ายของบ้าน พร้อมวัสดุจากไม้ ขนาด 36 ตร.ม. พื้นที่บนเฉลียง 30 ตร.ม. อยู่ในงบ ไม่เกิน 4 แสนบาท
38.บ้านเป็นบ้านชั้นเดียว เน้นตกแต่งสไตล์คิตตี้ด้วยผนังสีชมพูทั้งภายนอกและภายใน งบประหยัดโดยใช้งบไม่ถึง500,000 บาท ประด้วย 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องโถง 1 ห้องครัว
ขอบคุณข้อมูล:easycookingth.me