วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2562

2 แว้นซิ่ง เบิ้ลรถเสียงดัง แค้นลุงหันหน้ามอง จอดต่อยฟันหัก-ปากแตก

2 แว้นซิ่ง เบิ้ลรถเสียงดัง แค้นลุงหันหน้ามอง  จอดต่อยฟันหัก-ปากแตก
สมาชิกเฟซบุ๊ก น้ำฝน วัชรพันธุ์ ตั้งรางวัลนำจับ 10,000 บาท พร้อมประกาศตามหา 2 เด็กแว้นหัวร้อน จอดรถทำร้ายร่างกายพ่อบาดเจ็บ
ผู้โพสต์ระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ วันที่​ 21 มิ.ย 62​ ช่วงเวลา​ 01.00-02.00 โดยพ่อของตนอายุ 51 ปี ขับรถเทรลเลอร์บรรทุกรถแบคโฮ นำไปส่งในพื้นที่ก่อสร้าง บริเวณ ซ.แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 ถ.ประชาชื่น​ (ประตูหลังเมืองทองธานี)
ขณะนั้นมีชายวัยรุ่น 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ สีแดง เบิ้ลเครื่องรถเสียงดังขับผ่านมาบริเวณดังกล่าว พ่อของตนจึงหันหน้าไปมอง และคาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองไม่พอใจ จึงกลับมาทำร้ายร่ายกาย ส่งผลให้ฟันหัก 2 ซี่ ปากแตกต้องเย็บหลายเข็ม
เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าผู้ก่อเหตุ สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ผิว 2 สี​ ขณะนี้ได้แจ้งความไว้ที่ สถานีตำรวจภูธรปากเกร็ด จว.นนทบุรี พร้อมวิงวอนให้ประชาชนที่ทราบข้อมูลของคนร้าย ช่วยแจ้งเบาะแส โดยจะมีรางวัลนำจับให้ 10,000 บาท
Image
Image
Image

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

9 วิธี ดูแลผู้สูงอายุสุขภาพดี

ออกกำลังกาย

ใครมีผู้สูงอายุที่ต้องดูแล ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
 ยิ่งวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้รุนแรงกว่าครั้งใดๆ การป้องกันดูจะเป็นยาขนานเอกที่ได้ผลเกินคาด วันนี้เรามีวิธีดูแลสุขภาพผู้สูงอายุมาฝาก

          1.  เลือกอาหาร  โดยวัยนี้ร่างกายมีการใช้พลังงานน้อยลงจากกิจกรรมที่ลดลง จึงควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล  และไขมัน ให้เน้นอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะปลา  และเพิ่มแร่ธาตุที่ผู้สูงอายุมักขาด  ได้แก่ แคลเซียม สังกะสี และเหล็ก  ซึ่งมีอยู่ในนม ถั่วเหลือง  ผัก ผลไม้  ธัญพืชต่างๆ  และควรกินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่าง อบ แทนประเภทผัด ทอด จะช่วยลดปริมาณไขมันในอาหารได้  นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวานจัด  เค็มจัด  และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย  6 – 8 แก้วต่อวัน
             2.  ออกกำลังกาย   หากไม่มีโรคประจำตัว แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิคสัก 30 นาทีต่อครั้ง ทำให้ได้สัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง  จะเกิดประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือดอย่างมาก โดยขั้นตอนการออกกำลังกายจะต้องค่อยๆ เริ่ม มีการยืดเส้นยืดสายก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความหนักขึ้น จนถึงระดับที่ต้องการ ทำอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาที่ต้องการ จากนั้นค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ และค่อย ๆ หยุด เพื่อให้ร่างกายและหัวใจได้ปรับตัว             
             3. สัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์  จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้ อาจเป็นสวนสาธารณะใกล้ๆสถานที่ท่องเที่ยว หรือการปรับภูมิทัศน์ภายในบ้านให้ปลอดโปร่ง สะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก มีการปลูกต้นไม้ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และสามารถช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้ 
            4. หลีกเลี่ยงอบายมุข  ได้แก่ บุหรี่และสุรา จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรค หรือลดความรุนแรงของโรคได้  ทั้งลดค่าใช้จ่ายในการรักษา  และยังช่วยป้องกันปัญหาอุบัติเหตุ  อาชญากรรมต่างๆ อันเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมในขณะนี้
            5.  ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลและโรคที่เป็นอยู่ ส่งเสริมสุขภาพให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ปรับสภาพแวดล้อมในบ้านให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการหกล้ม 
   
            6.  ควบคุมน้ำหนักตัวหรือลดความอ้วน  โดยควบคุมอาหารและออกกำลังกายจะช่วยทำให้เกิดความคล่องตัว  ลดปัญหาการหกล้ม  และความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ  เช่น  โรคข้อเข่าเสื่อม และโรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น           
             วิธีประเมินว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์อ้วนหรือไม่  โดยคำนวณจากดัชนีมวลกายหรือเรียกสั้น ๆ ว่า BMI (body mass index)  ถ้าน้ำหนักตัวเกิน ค่า BMI   จะอยู่ระหว่าง 23 - 24.9 กิโลกรัม/เมตร2   แต่ถ้าอ้วนล่ะก็  ค่า BMI จะตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/เมตรขึ้นไป
                         สูตร ดัชนีมวลกาย(BMI)  = น้ำหนักตัว(กิโลกรัม)            
                                                                    ส่วนสูง (เมตร)2
ตัวอย่าง   ผู้สูงอายุ   หนัก 67 กิโลกรัม สูง 160 เซนติเมตร  
                               ดัชนีมวลกาย(BMI)     =   67                
                                                                    (1.6) 2  
                                                                =  26.17   ถือว่าเข้าข่ายอ้วน

             7.  หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม  เช่น การซื้อยากินเอง  การใช้ยาเดิมที่เก็บไว้มาใช้รักษาอาการที่เกิดใหม่ หรือรับยาจากผู้อื่นมาใช้  เนื่องจากวัยนี้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตในการกำจัดยาลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดพิษจากยาหรือผลข้างเคียง  อาจมีแนวโน้มรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉะนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาจะดีที่สุด

            8.  หมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย   เช่น คลำได้ก้อน โดยเฉพาะก้อนโตเร็ว  แผลเรื้อรัง  มีปัญหาการกลืนอาหาร  กลืนติด  กลืนลำบาก  ท้องอืดเรื้อรัง  เบื่ออาหาร น้ำหนักลด  ไอเรื้อรัง  ไข้เรื้อรัง  เหนื่อยง่าย  แน่นหน้าอกหรือถ่ายอุจจาระผิดปกติ  มีอาการท้องเสียเรื้อรัง  ท้องผูกสลับท้องเสีย  ถ้าอย่างนี้ล่ะก็พามาพบแพทย์ดีที่สุด

            9. ตรวจสุขภาพประจำปี   แนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี  หรืออย่างน้อยทุก ปี โดยแพทย์จะทำการซักประวัติ  ตรวจร่างกาย และอาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ  เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแข็ง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง  ตรวจหาโรคมะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่  มะเร็งลำไส้  มะเร็งเต้านม  มะเร็งปากมดลูก และยังมีตรวจการมองเห็น  การได้ยิน ตลอดจนประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

            นอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นสิ่งสำคัญ  การทำจิตใจให้แจ่มใส  มองโลกในแง่ดี  ไม่เครียดหรือวิตกกังวลกับเรื่องต่างๆ มากจนเกินไป  รวมถึงการเข้าใจและยอมรับตนเองของท่านและผู้อื่น  จะช่วยให้เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพดีอย่างแท้จริง
            ว่าแต่อย่าลืมทำกันนะครับ  จะดีต่อผู้สูงอายุในบ้านและครอบครัว. 

ที่มา 
อ.นพ.สมบูรณ์  อินทลาภาพร 

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ประกันสังคม จ่อหักเงินเดือนละ 1,000 บาท

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงการพิจารณาเก็บเงินสมทบประกันสังคมสูงสุด จากเดือนละ 750 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท ว่า สปส.เริ่มเก็บเงินสมทบ 5% โดยคำนวณจากฐานเงินเดือนต่ำสุดที่ 1,650 บาท สูงสุดอยู่ที่ 15,000 บาท ทำให้มีการเก็บเงินสมทบสูงสุดอยู่ที่ 750 บาทต่อเดือน
ซึ่งเก็บอัตรานี้มาตั้งแต่ปี 2533 ถึงปัจจุบันโดยไม่ได้เก็บเพิ่มเลย ขณะที่แต่ละปีมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ ค่าทันตกรรม ค่าคลอดลูก ค่าทำศพ ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น และปัจจุบันยังมีสิทธิประโยชน์อีกหลายอย่างที่มีการเรียกร้องกันอยู่
นอกจากนี้ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกันสังคมเริ่มเข้าสู่ช่วงจ่ายเงินบำนาญให้ผู้ประกันตน มีการคาดการณ์ว่า หากไม่เก็บเพิ่มในปี 2579 จะทำให้เงินเข้ากองทุนน้อยกว่าเงินที่ต้องจ่ายออก กระทบกับเสถียรภาพของกองทุน
นายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา สปส.ได้แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม เพื่อให้มีการเก็บเงินสมทบเพิ่มโดยขยายเพดานจากเดือนละ 750 บาท เป็นเดือนละ 1,000 บาท ข้อดี คือ ทำให้มีเงินไปเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านต่างๆ และทำให้เพิ่มเงินบำนาญหลังเกษียณด้วย แต่หลังจากที่มีการนำไปรับฟังความเห็นมาแล้ว พบว่า มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้น จึงยังไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่ไม่ได้ล้มเลิก ต้องมีการทำความเข้าใจให้ตรงกันทั้งหมด
“หลังจากตนเข้ารับตำแหน่ง ได้ให้นโยบายว่าต้องมีการปรับอัตราเงินสมทบเพิ่มแน่นอน แต่เพื่อให้ไม่กระทบกับแรงงาน ควรทำในลักษณะเป็นขั้นบันได คือ ค่อยๆ ขยายเพดานเงินเดือนสูงสุดในการคำนวณเงินสมทบ เช่น จาก 15,000 บาท เก็บเงินสมทบเดือนละ 750 บาท ปีต่อไปขยายเพดานเป็น 16,000 บาท เก็บสมทบเป็น 800 บาทต่อเดือน ปีถัดไปเพิ่มเป็น 17,000 บาท เก็บสมทบเพิ่มเป็น 850 บาท
โดยในระยะเวลา 5 ปี ก็สามารถเก็บเงินสมทบได้เดือนละ 1,000 บาท ตามเป้าหมาย ผู้ประกันตนก็จะได้ไม่รู้สึกว่า ต้องจ่ายแบบก้าวกระโดด สปส.เองแม้จะไม่สามารถเก็บได้ 1,000 บาทต่อเดือนตั้งแต่แรก ก็ไม่เป็นไร ดีกว่าออกกฎหมายไปแล้วไม่ได้รับการยอมรับ” นายอนันต์ชัย กล่าว
สำหรับการดำเนินการดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแก้ร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคมอีกรอบ ให้มีการเก็บเงินสมทบแบบขั้นบันได หากเสร็จแล้วจะมีการนำมารับฟังความเห็นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตรงนี้อาจจะต้องดูนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานคนใหม่และรัฐบาลเช่นกัน ส่วนคณะกรรมการประกันสังคมชุดนี้ที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ก็ยังสามารถปฏิบัติงานได้ต่อไปจนกว่าจะมีการยกเลิกคำสั่ง

ขอบคุณแหล่งที่มา :www.tradekan.com

ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง ศาสตร์พระราชา ความสุขอย่างยั่งยืน ลองปรับใช้ไม่จนแน่นอน



ทฤษฏีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง เป็นแนวทางที่ใช้ลำดับขั้นเพื่อเดินตามไปทีละขั้น ค่อยๆ ก้าวไปแบบยั้งยืนและมั่นคง ซึ่งหากใครทำตามได้ รับรองว่าไม่มีจนแน่นอน โดยแต่ละขั้นจะมีดังนี้
บันไดขั้นที่ 1-4 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน
ขั้นที่ 1 พอกิน
พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คือ ความต้องการปัจจัย 4 และประการสำคัญที่สุดของปัจจัย 4 คือ อาหาร ขั้นที่ 1 ของแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนคือ ตอบคำถามให้ได้ว่า ทำอย่างไรจึงจะพอกินโดยให้ความสำคัญกับ ข้าวปลาอาหาร ไม่ให้ความสำคัญกับเงิน ซึ่งเป็นเพียงแค่ ตัวกลาง ในการแลกเปลี่ยนตามมาตรฐานสากล โดยยึดหลักว่า เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง
เกษตรกรต้องเริ่มจากการอยู่ให้ได้โดยไม่ใช้เงิน มีอาหารพอมี พอกิน ด้วยการปลูกพืช ผัก ผลไม้ ให้พอกิน ชาวนาต้องเก็บข้าวไว้ให้เพียงพอ สำหรับการมีกินทั้งปี ไม่ขายข้าวเปลือกเพื่อนำเงินไปซื้อข้าวสาร
นอกจากนั้น หัวใจสำคัญของพอกิน ยังมีความหมายรวมไปถึงความปลอดภัยในอาหาร กินอย่างไรให้มีสุขภาพดี ไม่สะสมเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยไว้ในร่างกาย นี่คือความหมายของบันไดขั้นที่ ๑ ที่เกษตรกรต้องก้าวข้ามให้ได้
ขั้นที่ 2-4 พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น
เกิดขึ้นได้พร้อมกัน ด้วยคำตอบเดียวคือ ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ซึ่งป่า 3 อย่างจะให้ทั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สมุนไพร ให้ไม้สำหรับทำบ้านพักที่อยู่อาศัย และให้ความร่มเย็นกับบ้าน กับชุมชน กับโลกใบนี้ ซึ่งเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา ความยาก จน ของเกษตรกรไทย
ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริง และยังสามารถย้อนกลับไปแก้ไขปัญหาหนี้สิน ซึ่งสะสมพอกพูนจากการทำ เกษตรเชิงเดี่ยว ปัญหาความขาดแคลนนำ ภัยแล้ง ทั้งหมดล้วนแก้ไขได้จากแนวคิดป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
บันไดขั้นที่ 5-9 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า
ขั้นที่ 5-6 บุญและทาน
เครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมั่นว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้นการแลกเปลี่ยนทางการค้า แต่เน้นการทำบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทานและสะสมโดยมอบให้ เป็นทรัพย์สินส่วนรวมโดยวัด หรือศาสนสถานตามแต่ละศาสนาเป็นศูนย์กลาง
ตามความหมายอันลึกซึ้งของคำ ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี การให้ไปคือได้มา และเชื่อมั่นในฤทธิ์ของทาน ว่าทานมีฤทธิ์จริง และจะส่งผลกลับมาเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร เป็นเครือข่ายที่ช่วยเหลือกันในทุกสถานการณ์ แม้ในวันที่โลกนี้ประสบกับวิกฤตการณ์
ขั้นที่ 7 เก็บรักษา
ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพึ่งตนเองได้ พอมี พอเหลือทำบุญ ทำทานแล้ว คือการรู้จักเก็บรักษา ซึ่งเป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐานของการเอาตัวรอด โดยยึดแนวทางตามวิถีชีวิตชาวนาสมัยก่อนซึ่งเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉางเพื่อ ให้พอมีกินข้ามปี
ซึ่งผิดกับวิถีชาวนาในปัจจุบันที่ใช้วิธีการขายข้าวทั้งหมด แล้วนำเเงินที่ขายได้ไปซื้อข้าวเพื่อปลูกในปีต่อไป ส่งผลให้เกิดการขาดความมั่นคงและเปรียบเสมือนการใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางสาย ความประมาท เพราะหากเกิดภัยแล้ง น้ำท่วม ผลผลิตไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ย่อมหมายถึงปัญหาหนี้สิน และการขาดแคลนข้าวสำหรับปลูกในปีต่อไป
ขั้นที่ 8 ขาย
เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้าขายสามารถทำได้ แต่ทำภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ และทำไปตามลำดับ โดยของที่ขาย คือ ของที่เหลือจากทุกขั้นแล้วจึงนำมาขาย เช่น ทำนาอินทรีย์ ไม่ทำลายธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน

ขอบคุณแหล่งที่มา :www.tradekan.com

วิธีปลูกพืชกลับหัว

วิธีปลูกพืชแบบกลับหัวเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเพาะปลูก เพราะช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ไร้ซึ่งปัญหาเรื่องวัชพืช ว่าแต่การปลูกพืชแบบกลับหัวนั้นต้องเตรียมและทำอะไรอย่างไรบ้าง มาดูกัน
วัสดุอุปกรณ์
-ขุยมะพร้าวหรือดินที่เตรียมไว้
-กระถาง
-แผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยม
ขั้นตอนการปลูก
1.นำขุยมะพร้าวหรือดินที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในกระถางจนเต็ม
2.นำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมปิดด้านบนของกระถางโดยใช้นิ้วหนีบกระเบื้องไว้กับกระถางเพื่อป้องกันวัสดุปลูกร่วงหล่น
3.จากนั้นคว่ำกระถางในลักษณะก้นกระถางหันขึ้นด้านบน
4.นำต้นกล้าที่เราปลูกหยอดลงไปในรูก้นกระถางแล้วร้อยลวด 3 สายสำหรับใช้แขวน
5.รดน้ำให้ปุ๋ยได้ตามปกติอย่างสม่ำเสมอ
6.รอจนต้นโตสูงอย่างน้อยต้อง 30 เซนติเมตรขึ้นไป ในช่วงเวลานี้ต้นกล้าจะกลายเป็นผักที่เราต้องการและรากจะยึดเกาะดินเอาไว้แน่นแล้วจึงพลิกกระถางเพื่อให้ต้นพืชกลับหัว
7.เจาะรูที่ขอบกระถางเพื่อไว้สำหรับร้อยลวดแล้วนำไปแขวนด้านบนของกระถางเราสามารถปลูกผักอีกหนึ่งชนิดได้อย่างสบาย
เพียงเท่านี้เราก็สามารถปลูกพืชกลับหัวได้แล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก เกษตร นานา



พลิกชีวิต จบ ป.4 “เร่หาบไอติมขาย” ปากกัดตีนถีบ สู่เจ้าของแบรนด์กาแฟพันล้าน


เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่สร้างแรงบรรดาลใจให้กับคนหลายๆ คน ใน“สปป.ลาว” นอกจากจะดังเรื่อง “เบียร์ลาว” แล้ว ยังมี “ดาว คอฟฟี่” เป็นแบรนด์ประจำชาติ ที่สร้างชื่อเสียงระบือโลก ชนิดที่ว่าใครไปเยือนลาวก็ต้องหอบหิ้วกาแฟดาวติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย

เบื้องหลังความสำเร็จของ “ดาว คอฟฟี่” เกิดจากการปลุกปั้นของ “เหลื้อง ลิดดัง” เจ้ดาวเหลื้องสร้างตำนานลือลั่นไปทั่ว สปป.ลาว จากเด็กยากจนเรียนจบ ป.4 ต้องเร่ขายของตามโรงเรียนเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบ กระทั่งวันหนึ่งสร้างเนื้อสร้างตัวได้ กลายเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุด
ปีนี้ “เจ้ดาวเหลื้อง” อายุ 70 แล้ว แต่ยังขยันลุยไม่เลิก โดยมีลูกสาวคนโต “บุญเฮือง แครอล ลิดดัง” ช่วยแบ่งเบาภาระ ตามประสานักธุรกิจโลโปรไฟล์ ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าแม่จำปาสักยอมเปิดคฤหาสน์หลังใหญ่ ให้สื่อไทยได้สัมภาษณ์แบบเจาะลึก เจ้ยืนยันกับทีมข่าวหน้าสตรีไทยรัฐว่า แม้วันนี้จะรวยเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่บอกตรงๆว่ายังไม่เคยชินกับความรวยสักเท่าไหร่
“วันนี้ฉันก็ยังเป็นเหมือนเดิม ถือว่าธรรมดานะ แค่คิดว่าเรามีมากก็ช่วยเหลือเพื่อนฝูงได้มาก ใครลำบากมาฉันช่วยหมด พ่อฉันสอนว่า ถ้ามีกินแล้วเก็บไว้กินเองเดี๋ยวก็หมด แต่ถ้ารู้จักแบ่งให้คนอื่นกินยังไง ก็ไม่มีวันหมด เพราะวันหนึ่งคนที่เคยช่วยไว้จะกลับมาช่วยเรา
วันไหนเหนื่อยวันไหนเจออุปสรรค ฉันก็ไม่ถอยนะ มีอาจารย์คนแก่ๆเคยดูดวงให้ ฉันถามว่าเมื่อไหร่จะสบาย เขาบอกไม่ต้องพูดคำว่าสบาย ก่อนจะเอาฝาโลงมาปิด เจ้ยังเปิดฝาโลงออกบอกอย่าเพิ่งปิด เพราะยังสั่งเสียไม่เสร็จ คือชีวิตนี้ไม่ต้องคิดหรอกว่าจะสบาย”
เคยเสียใจน้อยใจไหมที่เกิดมาจน และต้องใช้ชีวิตลำเค็ญ
พ่อแม่ฉันยากจน พ่อเป็นคนงานก่อสร้าง และเหยียบสามล้อ ฉันเป็นพี่คนโต มีน้อง 8 คน เรียนจบแค่ ป.4 ต้องมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่ฉันไม่เคยเสียใจที่ไม่ได้เรียนหนังสือ อยากหาสตางค์ ใครจ้างอะไรทำหมด เคยรับจ้างซักรีดเสื้อผ้า หาบไอติมขาย หาบกล้วยปิ้งข้าวโพดปิ้งขาย
เริ่มลืมตาอ้าปากได้ตอนไหน
ตอนไปค้าขายที่เวียงจันทน์ เป็นแม่ค้าขายกับข้าวในตลาด ฉันคิดตลอดว่าพวกเราจนเกินไป ทำไมไม่มีสตางค์ พอมีเพื่อนชวนให้ส่งของใช้ของจำเป็นจากเวียงจันทน์ไปขายที่จำปาสักจึงลองทำดู สมัยนั้นเพิ่งเปิดประเทศใหม่ๆแขวงจำปาสักยังขาดแคลนทุกอย่าง หลังแต่งงานกับหมอผ่าตัด “ดร.ฮ่าว ลิดดัง” ตอนอายุ 32 ปี จึงมีโอกาสเรียนทำเบเกอรีที่กรุงเทพฯ และกลับมาอบขนมขายที่บ้านในจำปาสัก ทำอะไรก็ขายได้หมด
จากแม่ค้าธรรมดาๆ ประตูโอกาสเปิดกว้างให้ “เจ้ดาวเหลื้อง” ตอนไหน
ชีวิตหลังแต่งงานสุขสบายขึ้น แต่ด้วยความที่ฉันมีเพื่อนเยอะ จึงมีคนชวนให้เป็นยี่ปั๊วเปิดบริษัทนำเข้าของกินของใช้จากไทยมาขายที่จำปาสัก แรกๆไม่กล้าทำหรอก เพราะไม่มีความรู้ แต่เพื่อนข้าราชการช่วยเรื่องเอกสารทุกอย่าง และยืนยันว่าเธอเป็นคนเก่งคนสู้ชีวิตต้องทำได้ ตอนเปิดบริษัท “ดาวเฮือง อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต” เมื่อปี 1991 มีแค่ห้องแถวเดียวกับเงินทุนหลักแสน ฉันขายทุกอย่าง ตั้งแต่น้ำปลา, ผงชูรส, น้ำตาล, รองเท้าผ้าใบตราม้าดาว, น้ำอัดลม และเบียร์ สมัยนั้นสั่งของทีหนึ่ง 20-30 คันรถสิบล้อ ถือเป็นยี่ปั๊วรายใหญ่สุดของจำปาสักและลาวใต้ โอกาสมาถึงอีกครั้งตอนมีเพื่อนชวนเปิดดิวตี้ฟรี
กว่าจะได้เป็นเจ้าแม่ดิวตี้ฟรีเจออุปสรรคเยอะไหม
เปิดดิวตี้ฟรีแรกสำเร็จตอนปี 1996 เปิดใหม่ๆเจออุปสรรคเยอะ เพราะมีเจ้าใหญ่ทำอยู่แล้ว เราต้องเลี่ยงไปทำเทรดผ่านแดนแทน โดยนำเข้าสินค้าจากไทยผ่านลาวส่งออกไปขายประเทศที่สาม คือเวียดนาม จุดแรกทำด่านผ่านแดนที่ลาวกับเวียดนาม ใครสั่งอะไรมาเราก็ส่งไปขายหมด ตอนนี้เองมีโอกาสได้จับเงินล้าน
แล้วผันตัวมาเป็นผู้ผลิตผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ของประเทศได้อย่างไร
ฉันนำเข้าสินค้าจากเมืองไทยมาขายในลาวเยอะ รัฐบาลลาวเลยขอให้หาสินค้าลาวส่งออกไปขายนอกประเทศเพื่อสร้างสมดุลการค้า ตอนนั้นฉันนึกถึงกาแฟ เพราะจำปาสักเป็นแหล่งปลูกกาแฟใหญ่ ตอนแรกๆไม่ได้คิดทำจริงจัง แค่ซื้อเมล็ดกาแฟจากชาวบ้านไปส่งออก ต่อมารัฐบาลขอให้ลงทุนปลูกกาแฟเองด้วย ฉันต้องกัดฟันทำ เริ่มจากจ้างชาวไร่ปลูกกาแฟปลูกไปได้เดือนสองเดือน เห็นต้นกาแฟแตกใบอ่อนๆก็รู้สึกรักต้นกาแฟแล้ว จึงตัดสินใจปลูกกาแฟ
จริงๆ ทำไปได้ 6-7 เดือน ลูกเห็บลงต้นกาแฟตายหมด ขาดทุนไปหลายแสนเหรียญยูเอส ฉันก็สู้ต่อเพราะรักต้นกาแฟไปแล้ว ปลูกไป 4-5 ปี ถึงจะได้เมล็ดกาแฟพร้อมส่งออก 100 กว่าตัน แต่ขายได้ราคากิโลละเหรียญ สงสารชาวบ้านมากปลูกแทบตายขายไม่ได้ราคา จึงคิดว่าต้องทำโรงงานผลิตกาแฟสำเร็จรูป แต่กว่าจะสร้างโรงงานสำเร็จต้องใช้เวลา 10 ปี ระหว่างนั้นฉันยังช่วยชาวบ้าน เอาต้นกล้ากาแฟอาราบิกาไปแจกให้ปลูกฟรีๆปีละล้านต้น แจกมาต่อเนื่องเป็น 10 ปี ฉันไม่เคยผูกขาด จะบอกตลอดว่าที่ไหนขายได้ราคาดีกว่าก็ไปขายเลย แต่ชาวบ้านก็ยังรักเรา เพราะเราให้ราคาดี และไม่เคยบีบบังคับ
ปัจจุบันอาณาจักร “ดาว คอฟฟี่” กว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน
ไร่กาแฟของเรามีพื้นที่ 1,500 ไร่ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโบลาเวน แขวงจำปาสัก ซึ่งเป็นดินภูเขาไฟ อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร เรายังรับซื้อผลผลิตจากชาวไร่ละแวกนั้นอีก 2,000 กว่าครัวเรือน ฉันไม่ได้คิดเรื่องรวยหรอก อยากเห็นเมล็ดกาแฟดีกินอร่อย กำไรหรือขาดทุนไม่สน
ความรู้น้อยเงินทุนก็น้อย ทำยังไงถึงประสบความสำเร็จไม่โดนโกง
ฉันรู้จักคนเยอะ ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เวลาค้าขาย ฉันถือความซื่อสัตย์สำคัญที่สุด สมัยแรกๆฉันสั่งซื้อของจากยี่ปั๋วที่อุบลราชธานีต้องใช้เงินสดเท่านั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งยี่ปั๊วทอนเงินเกินมาหมื่นบาท ฉันรีบเอาเงินไปคืนทันที ทำให้ยี่ปั๊วไว้ใจและตั้งแต่วันนั้นยอมปล่อยเครดิตให้ยาว
ถาม “แครอล” บ้างนะคะ ต้องสานต่อความฝันของคุณแม่ เป็นภาระที่หนักอึ้งเลยไหม
แครอลเข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านได้ 12 ปีแล้ว แม่ตั้งความหวังไว้เยอะ เราก็พยายามทำทุกอย่างจนเป็นภาพเดียวกับแม่ แต่ยอมรับว่าต้องใช้เวลากว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ แม่สร้างอะไรไว้เยอะมาก ทุกวันนี้เรามีดิวตี้ฟรีในด่านสากลที่เชื่อมกับลาวทั้ง 6 ด่าน เราเป็นที่หนึ่งในธุรกิจทุกด้านที่ทำ และจนถึงขณะนี้กาแฟดาวสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศปีละ 100 กว่าล้านเหรียญยูเอส
เรามีส่วนมากพอสมควรที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนลาวใต้ดีขึ้นทุกปี ช่วยแก้ปัญหาความยากจนของคนจำปาสัก แม่ใช้ภูมิปัญญาของชาวไร่ดาวสร้างระบบนิเวศขึ้นมา ทำให้ไร่กาแฟดาวเป็นออร์แกนิกโดยสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน ก็ควบคุมคุณภาพการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัยที่สุด เพื่อให้ได้รสชาติกาแฟระดับพรีเมียม แครอลมั่นใจว่าเมล็ดกาแฟจากที่ราบสูงโบลาเวน มีรสชาติอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
สำหรับ “แครอล” แม่เป็นแบบอย่างด้านไหน
แครอลตามแม่ไปทำงานตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ได้ซึมซับอะไรหลายอย่าง แม่เป็นคนสู้ชีวิตมาก เคยล้มหลายครั้ง แต่แม่ก็ไปต่อได้ เคยโดนติดหนี้ไม่มีเงินทุนซื้อของไปขาย แม่ก็ไม่ท้อหาอย่างอื่นทำไปก่อน แม่บอกตลอดว่าแม่เกิดมาไม่มีอะไรอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียแค่เริ่มใหม่ เวลาคิดอะไรไม่ตก แม่ให้คำตอบได้หมด
ในฐานะผู้บริหารยุคใหม่ อยากปลุกปั้น “ดาว คอฟฟี่” ให้เติบโตไปทิศทางไหน
แครอลภูมิใจมากนะ ทุกวันนี้ถ้าพูดถึงลาว คนจะนึกถึงกาแฟดาว ไม่เคยคิดว่าจะบูมขนาดนี้ เราแค่ทำหน้าที่ของเราเต็มที่ กาแฟดาวเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไปแล้ว ในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่ที่สุดของลาว แครอลภูมิใจมากที่กาแฟดาวติดท็อปเทนของกาแฟโลก ในสายพันธุ์อาราบิกา และ สปป.ลาว จะเข้าเป็นสมาชิกองค์กรกาแฟระหว่างประเทศในเดือน

ปัจจุบันดาวคอฟฟี่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้รับรางวัลรับรองคุณภาพสินค้า GI จากรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อการันตีคุณภาพของผลิตภัณฑ์ดาวคอฟฟี่ แครอลฝันว่าใน 5-10 ปีข้างหน้า นอกจากจีน, ไทย, เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดหลักของเราแล้ว ก็อยากให้คนทั่วโลกจดจำว่าประเทศลาวมีกาแฟคุณภาพ ซึ่งกาแฟคุณภาพของลาวก็ต้องดาวคอฟฟี่เท่านั้น.